เลือก RCD แบบไหนดี? ไขข้อสงสัย RCCB กับ RCBO ต่างกันอย่างไร
ไฟรั่วเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้น เราจะมาดูกันว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง มาดูคู่มือเลือกซื้อเครื่องตัดไฟรั่ว เลือกแบบไหนถึงจะเหมาะกับบ้านเรา แล้วระหว่าง RCCB กับ RCBO ต่างกันอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง แต่ละประเภทเหมาะกับการใช้งานแบบไหน ไปดูพร้อมๆ กันผ่านบทความนี้ได้เลย!
เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) คืออะไร?
เครื่องตัดไฟรั่ว (Residual Current Device: RCD) จะทำงานเมื่อเกิดการไหลของกระแสไฟฟ้าเข้า-ออกที่มีค่าไม่เท่ากัน หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อมีกระแสไฟส่วนใดส่วนหนึ่งรั่วหายไป โดยเครื่องตัดไฟฟ้าจะทำการตัดไฟฟ้าอัตโนมัติ เพื่อป้องกันอันตรายจากการรั่วไหลของไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าลงดินโดยตรง หรือกระแสไฟฟ้าที่รั่วมาสัมผัสผู้ที่กำลังใช้งาน และสัมผัสอุปกรณ์เพื่อไหลลงไปสู่ดินอีกที ทั้งนี้ ในตอนที่ไม่มีไฟรั่วเครื่องตัดไฟรั่วก็จะไม่ได้ทำงาน เพราะจะทำงานเฉพาะตอนที่ไฟฟ้าเกิดการรั่วเท่านั้น
ประโยชน์ของเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD)
เรามาดูกันว่าเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) มีประโยชน์อะไรบ้าง ดังนี้
- ป้องกันอันตรายที่เกิดจากไฟดูด ไม่ว่าจะสัมผัสตัวนำไฟฟ้าโดยตรง หรือสัมผัสโดยอ้อม
- ป้องกันอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นจากไฟรั่ว
- ช่วยทำให้เราทราบถึงการไหลของกระแสไฟฟ้า ในบางครั้งที่มีการชำรุด กระแสไฟไหลลงดิน ก็จะทำให้สามารถแก้ไข และซ่อมแซมได้ทันท่วงที
RCD มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
RCD มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Type AC, A และ B เรามาดูกันว่าแต่ละประเภทมีลักษณะแบบไหน และมีความแตกต่างกันอย่างไร ดังนี้
RCD Type AC
RCD Type AC คือเครื่องตัดไฟรั่วที่จะจับไฟรั่วที่มีวงจรเป็นแบบกระแสสลับเท่านั้น ซึ่งเครื่องตัดไฟประเภทนี้ สามารถนำไปใช้ได้กับตัวทำความร้อน เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำน้ำร้อน เตาไฟฟ้า หลอดไฟฟ้าแสงสว่าง ทั้งไส้ทังสเตน และแบบฮาโลเจน เป็นต้น
RCD Type A
RCD Type A คือเครื่องตัดไฟรั่วชนิดที่มีรูปคลื่นกระแสจากผลของวงจรแบบเรียงกระแส (Rectifier) แบบเฟสเดียว โดยเราสามารถนำไปใช้งานได้กับอุปกรณ์ที่หลากหลาย และสามารถใช้ร่วมกับ RCD Type AC ที่เป็นกระแสสลับ ใช้กับ DC Pulsating หรือใช้กับ Halfwave Rectified ที่มีกระแสตรงผสมไม่เกิน 6mA ได้ ตัวอย่างของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ อินเวอร์เตอร์ อุปกรณ์ไอที class 1 เตาไฟฟ้าแบบเหนี่ยวนำ อุปกรณ์หรี่ไฟ (Dimmer) ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในบ้าน หรืออาคาร และเครื่องประจุไฟฟ้าสำหรับ EV เป็นต้น
RCD Type B
RCD Type B คือเครื่องตัดไฟที่มีรูปคลื่นกระแสจากผลของวงจรควบคุมความถี่ โดย RCD Type B สามารถใช้ได้กับ Type AC และ Type A ได้ หรือกล่าวง่ายๆ เลยคือสามารถวัดคลื่นได้ทุกรูปแบบนั่นเอง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ได้กับอินเวอร์เตอร์ควบคุมความเร็ว UPS เครื่องประจุไฟฟ้าสำหรับ EV ระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และคอนเวอร์เตอร์ หรือตัวแปลงความถี่ หรือในตัวแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเฟส 3 เป็นกระแสตรง เช่น ลิฟต์ บันไดเลื่อน เครื่องเชื่อม เป็นต้น
RCD Type A กับ B ต่างกันอย่างไร?
เรามาดูกันว่า RCD Type A กับ B แตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดย RCD Type A และ RCD Type B มีการจับกระแสไฟฟ้าที่แตกต่างกัน โดย RCD Type A จะจับกระแสไฟแบบสลับ และแบบเรียงกระแสได้ ในขณะที่ RCD Type B สามารถจับกระแสได้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบของ RCD Type AC และ RCD Type A เลย นอกจากนี้ โครงสร้างของกันดูด Type B จะมีขดลวด 2 ชุด แต่ใน Type A จะมีขดลวดเพียง 1 ชุด ซึ่งขดลวดของ Type B จะมีความพิเศษของขดลวดที่จะช่วยจับการรั่วไฟของกระแสตรงได้ (DC) อีกทั้ง มาตรฐานกันดูดของ RCD B ก็จะพิเศษ และแตกต่างกับมาตรฐานของชนิดอื่นด้วยเช่นกัน
เครื่องตัดไฟรั่ว มีกี่ชนิด
เครื่องตัดไฟรั่วมีด้วยกันหลายชนิด โดยแต่ละชนิดนั้นมีอะไรบ้าง และมีความแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกัน!
เครื่องตัดวงจรใช้กระแสเหลือแบบไม่มีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน (RCCB)
Residual Current Circuit Breaker (RCCB) หรือเบรกเกอร์กันดูด ทำหน้าที่เพื่อป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด โดยมีหลักการทำงานแบบ VI กล่าวคือ หลักการทำงานที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Voltage ไม่ต้องมีไฟมาเลี้ยงวงจรก็สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยสามารถแบ่งออกเป็น Type ต่างๆ ได้ดังนี้
- RCCB Type AC ใช้เพื่อการตรวจจับกระแสไฟรั่ว กระแสไฟสลับที่ 50 Hz เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
- RCCB Type A คือเพื่อตรวจจับกระแสไฟรั่ว ไฟฟ้ากระแสสลับที่ 50 Hz เหมาะกับกระแสไฟรั่วชนิดพัลซ์กระแสตรง
- RCCB Type B คือเพื่อตรวจจับกระแสไฟรั่ว ไฟฟ้ากระแสสลับหลากหลายความถี่ เหมาะกับกระแสไฟฟ้าชนิดพัลซ์กระแสตรง ที่สามารถทนต่อไฟกระชาก และกระแสไฟรั่วชนิดไฟฟ้ากระแสตรง
แล้ว RCCB Type A กับ B มีความแตกต่างกันอย่างไร? โดย RCCB Type A คือจะสามารถจับกระแสแบบ AC และแบบ DC พัลซ์กระแสตรง ในขณะที่ RCCB Type B คือสามารถตรวจจับกระแสได้ทุกอย่างแบบที่ Type A ทำได้ ทั้งกระแสแบบเรียบ แบบตรง หรือกระแสที่มีความถี่ผันแปร
ข้อดี
ข้อดีของ RCCB มีดังนี้
- ป้องกันข้อผิดพลาด และความขัดข้องที่จะเกิดจากกระแสไฟรั่วที่ไม่เป็นไปตามวงจร
- ตัดไฟทันทีเมื่อพบความผิดปกติ หรือเหตุขัดข้องของอุปกรณ์
- ตรวจสอบ และตรวจจับคลื่นไฟฟ้าที่มีความผิดปกติได้ในระดับที่สูง
- ช่วยป้องกันการผันผวนของแรงดันไฟฟ้า และการชนกันของกระแสไฟฟ้า
- มีความเสถียรสูง เพื่อให้ป้องกัน และรักษาความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าได้ดี
ข้อจำกัด
ข้อจำกัดของ RCCB มีดังนี้
- ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่หากแรงดันไฟฟ้ามีขั้วที่ต่ำเกินไป
- ประสิทธิภาพอาจผันแปรไป หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหากสภาพแวดล้อมภายนอกไม่เหมาะสม เช่น ร้อนมากเกินไป
- หากเกิดการติดตั้งที่ผิดพลาด และไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลต่อการทำงานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพทันที
- การทำงานจะสิ้นสุด หรือจบลงถ้าการทำงานของ RCCB มีปัญหา และมีข้อบกพร่อง
- RCCB บางชนิดไม่เหมาะต่อการใช้งานในบางประเภทที่ความเสถียรต่ำ และไม่มีความคงที่
เครื่องตัดวงจรกระแสเหลือชนิดมีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน (RCBO)
Residual Current Device (RCBO) คือสิ่งที่จะช่วยป้องกันกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหล ที่เป็นการรวมเอาคุณสมบัติของ RCD (Residual Current Device) และ MCB (Miniature Circuit Breaker) เข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังช่วยป้องกันกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป ดังนั้น RCBO จึงช่วยป้องกันระบบไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุม ซึ่ง RCBO มี 3 ประเภท คือ Type A, Type B และ Type C ซึ่งเบรกเกอร์ Type A กับ Type B ต่างกันอย่างไรนั้น สามารถอธิบายได้คือ Type A เหมาะสำหรับกระแสเกินในระดับต่ำ Type B เหมาะสำหรับกระแสเกินระดับกลาง และ Type C เหมาะสำหรับกระแสเกินในระดับสูงนั่นเอง
ข้อดี
ข้อดีของ RCBO มีดังนี้
- ป้องกันการรั่วของไฟ และป้องกันการกระตุกของไฟ และกระแสไฟที่มีระดับสูง
- สามารถติดตั้งได้ง่าย และสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติม
- มีความทนทาน และสามารถทำงานได้เสถียร
- มีฟังก์ชันการทดสอบอัตโนมัติ (Auto-Test) และแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา
- มีขนาดที่เล็ก สามารถติดตั้งในพื้นที่ที่จำกัดได้
ข้อจำกัด
ข้อจำกัดของ RCBO มีดังนี้
- ราคาสูง เนื่องจากมีคุณสมบัติของ RCD และ MCB รวมอยู่ด้วยกัน
- มีความซับซ้อนในการบำรุงรักษา และการติดตั้ง เพราะต้องคำนึงถึงการตั้งค่า และการทดสอบการทำงาน
- มีการทำงานที่ซับซ้อน
- มีข้อจำกัดในการเลือกความไวในการตัดไฟฟ้า
- ต้องมีการทดสอบระบบอยู่เสมอ
เครื่องตัดวงจรกระแสเหลือชนิดมีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน (RCBO)
มาดูกันว่า RCCB และ RCBO มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จากที่เราพอจะได้ทราบข้อมูลกันมาแล้ว โดยความแตกต่างคือ RCCB จะช่วยตัดวงจรไฟฟ้าเมื่อตอนที่เกิดการรั่วไหลเท่านั้น จะไม่สามารถตัดกระแสไฟที่เกิน หรือว่าลัดวงจรได้ ในขณะที่ RCBO คืออุปกรณ์ที่จะช่วยป้องกันไฟดูด อีกทั้งยังสามารถตัดกระแสไฟได้ ทั้งในกรณีไฟรั่ว และไฟฟ้าลัดวงจร
เลือกเครื่องตัดไฟรั่วอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
หลังจากที่ได้รู้กันบ้างแล้วว่า RCD และ RCCB คืออะไร และ RCCB กับ RCBO ต่างกันอย่างไร ต่อจากนี้ มาดูกันว่า การเลือกเครื่องตัดไฟรั่วให้เหมาะสมต่อการใช้งานมีวิธีเลือกอย่างไรบ้าง
เลือกเครื่องตัดไฟรั่วให้ถูกชนิด
เครื่องตัดไฟรั่วแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการทำงาน ความสามารถในการทนต่อกระแสไฟขนาดต่างๆ ที่แตกต่างกัน หรือต่อลักษณะของกระแสที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ผู้ใข้งานควรต้องรู้ลักษณะ และความต้องการในการใช้งานของตัวเองก่อน เพื่อทำให้สามารถเลือกติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วได้ถูกชนิด ไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระหว่างการใช้งาน และเพื่อทำให้สามารถใช้เครื่องตัดไฟรั่วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เลือกเครื่องตัดไฟรั่วให้ถูกประเภท
การเลือกประเภทของเครื่องตัดไฟรั่วเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่เราจะต้องเลือก และตัดสินใจให้ดีก่อนนำมาใช้งาน โดยต้องศึกษาให้ดีว่า เครื่องตัดไฟรั่ว RCCB กับ RCBO มีความต่างกันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตัดวงจรกระแสไฟที่เลือกแบบมีอุปกรณ์ หรือแบบไม่มีอุปกรณ์ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ และความเหมาะสมของการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
เลือกเครื่องตัดไฟรั่วที่มีฉลาก มอก.
แน่นอนว่าการจะเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้มาตรฐานจะต้องมีฉลาก มอก. เช่นเดียวกับเครื่องตัดไฟรั่ว ก็ต้องมีฉลากมอก. ที่ประทับตรามอก. 909-2548 สำหรับเบรกเกอร์กันไฟรั่วที่มีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน RCBO หรือ มอก. 2425-2552 สำหรับเบรกเกอร์กันไฟรั่วที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟเกิน RCCB โดยจะต้องมีพิกัดไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 3 มิลลิแอมป์
เลือกเบรกเกอร์ให้เหมาะสม
การเลือกเบรกเกอร์ให้เหมาะสมคือการเลือกตามขนาดของกระแสในการใช้งานตามวงจรนั้นๆ เช่น ขนาดเซอร์กิตเบรกเกอร์ 20 A จะต้องเลือกขนาดของเบรกเกอร์กันไฟรั่วที่มีกระแสการใช้งานไม่ต่ำกว่า 20 A
สรุป
RCD คือเบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว หรือเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อมีกระแสไฟเกิน เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านมาสู่ตัวเรา เนื่องจากเมื่อกระแสไฟฟ้าบางส่วนที่มีการรั่วหายไป หากสัมผัสโดนตัวคน ก็จะทำให้เกิดอันตรายได้ RCB นั้นมีกี่ประเภท และ RCCB กับ RCBO มีความแตกต่างกันอย่างไรนั้น กล่าวคือ เครื่องตัดวงจรใช้กระแสเหลือแบบไม่มีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน หรือ RCCB ในขณะที่เครื่องตัดวงจรกระแสไฟเหลือแบบมีอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินคือ RCBO โดยทั้งสองประเภทนี้เองก็มีชนิดหรือ Type แยกย่อยที่แตกต่างกันออกไปอีก ไม่ว่าจะเป็นแบบกระแสตรง เรียงกระแส หรือแบบกระแสสลับ ในฐานะผู้ใช้งานควรจะมีการเรียนรู้ว่า RCCB กับ RCBO ต่างกันอย่างไร หากเราจะติดตั้งเพื่อใช้งาน ควรใช้แบบไหน เพื่อทำให้การใช้งานก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตัวผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน